อุปกรณ์เครื่อวัดค่าในดิน วัดความชื้น วัดแสงสว่าง วัดอุณหภูมิ ในดิน เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญและขาดไม่ได้เลยครับสำหรับคนรัก และดูแล ต้นไม้ ในการวัดคุณภาพของดิน เพื่อให้ค่าของดินนั้นเหมาะสมกับการปลูกพืช ผัก ผลไม้ ดอกไม้ ไม่ว่าจะเป็นการวัด 1. ค่าความเป็นกรด – ด่าง(PH) ในดิน 2. วัดความชื้นภายในดิน 3. ค่าแสงสว่างที่ต้นไม้ได้รับ เป็นต้น ถ้าเราทำให้ดินนั้นมีคุณภาพและเหมาะสมกับ พืช ผัก ผลไม้ นอกจากเพิ่มผลผลิตและยังลดความเสี่ยงในการตายของ พืช ผัก ผลไม้ ภายในสวน ภายในไร่ของเราได้อีกด้วย
ค่า pH (กรด-ด่าง) ในดิน คือ
ความเป็นกรด-ด่างในดิน หรือของสสาร วัดกันด้วยหน่วยเป็นค่า pH ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีค่า pH อยู่ที่ 0-14 ดังนั้นหากในดินมีค่า pH เท่ากับ 7 ก็แสดงว่ามีความเป็นกรด-ด่างเป็นกลาง แต่ถ้าในดินนั้นมีค่า pH ต่ำกว่า 7 ก็แสดงว่าดินมีความเป็นกรดมาก ในทางกลับกันหากตรวจสอบแล้วค่าpH ในดินดินมีค่า สูงกว่า 7 ก็แสดงว่ามีความเป็นด่างสูง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วดินมักจะมีค่าความเป็นกรดอยู่ที่ 3 และมีค่าความเป็นด่างอยู่ที่ 10 โดยมีปัจจัยแวดล้อมอย่างสารอาหารที่ดินได้รับ เช่น การให้ปุ๋ย ซากพืช ซากสัตว์ ที่ทับถม ในบริเวณนั้น ๆ และปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยต่อปีเป็นส่วนประกอบในการวัดค่าด้วย
ค่าความชื้นในดิน คือ
ความชื้นในดินมีความสำคัญมากต่อการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งการควบคุมความชื้นของดินให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืชในแต่ละชนิด สามารถทำได้ด้วยการใช้เซ็นเซอร์เข้ามาช่วยตรวจวัด หากความชื้นในดินต่ำ สามารถเปิด/เพิ่มการให้น้ำ เพื่อเพิ่มความชื้นให้กับดิน และหากความชื้นในดินสูง สามารถปิด/ลดการให้น้ำ หรือเปิดแสลนพรางแสงเพื่อให้แดดเข้าถึง หรือเปิดพัดลมเพื่อช่วยลดความชื้นภายในโรงเรือน ความชื้นในดินก็จะลดลงด้วยเช่นกัน
ระดับความชื้นที่พืชสามารถรับได้จะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ดังนี้
1.ความชื้น 80% – 100% : สภาวะอันตรายต่อพืช ถ้ามีความชื้นสูงในระดับนี้เป็นเวลานาน มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้รากเน่า หรือเกิดเชื้อราขึ้นได้
2.ความชื้น 70% – 79% : สภาวะดินแฉะ หากไม่ควบคุมให้ดี หรือปล่อยเป็นเวลานานก็อาจเข้าสู่สภาวะอันตรายได้
3.ความชื้น 50% -69% : สภาวะที่พืชชอบ เนื่องจากพืชจะมีการเจริญเติบโตได้ดีที่สุดในสภาวะนี้
4.ความชื้น 40% – 49% : สภาวะแห้ง ควรเพิ่มความชื้นให้แก่ดิน เพื่อให้พืชเจริญเติบโตได้
5.ความชื้น 0% – 39% : สภาวะวิกฤติ สามารถทำให้พืชแห้งและเหี่ยวเฉาตายได้
ค่าแสงหรือค่าความสว่าง คือ
แสงมีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของพืชอย่างมาก หากปราศจากแสงพืชจะยังคงเจริญเติบโตไปจนกว่าอาหารที่มันสะสมไว้นั้นจะหมด แต่การเจริญเติบโตในความมืดนั้นมันจะผิดปกติ อาการผิดปกตินี้เรียกว่า etiolation ลักษณะของอาการนี้คือ พืชนั้นจะมีสีขาว ลำต้นชะลูด ใบจะไม่แผ่เต็มที่ ระบบรากจะอ่อนแอ และ tissues ของมันนจะมีน้ำมาก Internode จะยืดขยายมาก และพืชจะล้มเพราะมีความแข็งแรงไม่พอที่จะตั้งลำต้นให้ตรง อิทธิพลของแสงที่มีต่อพืชโดยตรงและสำคัญมากก็คือ พืชจะใช้แสงในขบวนการสังเคราะห์แสง (Photosynthesis) เพื่อปรุงอาหารสำหรับพืชนั้นๆ ขบวนการสังเคราะห์แสงเป็นการปรุงอาหารของพืช โดยการทำปฏิกิริยาทางเคมีของ carbon-dioxide และน้ำ ซึ่งมีแสงเป็นตัวเร่งในการทำปฏิกิริยานี้ เกิดเป็นแป้งหรือน้ำตาลและ oxygen พืชจะคาย oxygen ที่เกิดขึ้นออกทางใบ ในการสังเคราะห์แสงนั้นอาหารที่พืชสร้างขึ้นก่อนคือ glucose หรือ fructose แล้วเกิดเป็นแป้งหรือน้ำตาลภายหลัง
ค่าอุณหภูมิในดิน คือ
อุณหภูมิภายในดิน : นั้นมีอิทธิผลต่อการงอกงามของเมล็ดและราก การดูดซึมซับน้ำ ธาตุอาหารต่างๆภายในดิน การเปลื่ยนแปลงอุณหภูมิในดินขึ้นอยู่กับรังสีของพระอาทิตย์ อุณหภูมิภายในดินนั้นต้องพอเหมาะกับพืชแต่ละชนิด การปรับระดับอุณหภูมิในดินนั้นเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้พืชมีการเจริญเติบโตที่ดีและแข็งแรงต่อการเพาะปลูก
อุณหภูมิภายในดิน: มีความสำคัญต่อการงอกงามของเมล็ดและราก การเคลื่ยนย้ายสารอาหารภายในลำต้นของพืช นั้น อยุ่ในอุณหภูมิที่ 20 – 30 องศาเซลเซียส
ค่าความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ คือ
ความชื้น (Humidity) คือ ปริมาณไอน้ำที่มีอยู่ในอากาศ ความชื้นของอากาศมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความดันและอุณหภูมิ
ความชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity) คือ “อัตราส่วนของปริมาณไอน้ำที่มีอยู่จริงในอากาศ ต่อ ปริมาณไอน้ำที่จะทำให้อากาศอิ่มตัว ณ อุณหภูมิเดียวกัน” หรือ “อัตราส่วนของความดันไอน้ำที่มีอยู่จริง ต่อ ความดันไอน้ำอิ่มตัว” ซึ่งค่าความชื้นสัมพัทธ์แสดงในรูปของร้อยละ (%)
ถ้ามีความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศมาก อาจทำให้ต้นไม้ เกิดอาการรากเน่า หรือเชื้อราได้ง่าย